สถานการณ์ความตึงเครียดตามแนวชายแดนระหว่างไทยและกัมพูชาปะทุขึ้นอีกครั้ง เมื่อเกิดการปะทะกันอย่างดุเดือดบริเวณ ปราสาทตาเมือนธม จังหวัดสุรินทร์ ตั้งแต่วันที่ 24 กรกฎาคม 2568 เหตุการณ์ครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่เป็นเพียงการตอกย้ำถึงรอยร้าวในความสัมพันธ์ที่ดำรงมาอย่างยาวนาน ข้อพิพาทเรื่องเขตแดนระหว่างสองประเทศทวีความรุนแรงขึ้นเป็นลำดับนับตั้งแต่ปี 2554 สืบเนื่องจากกรณีพิพาทเขาพระวิหารที่ยังคงทิ้งปมปัญหาไว้เบื้องหลัง

บทความนี้จะย้อนรอยกลับไปสำรวจจุดเริ่มต้นของความขัดแย้ง เพื่อทำความเข้าใจถึง ประเด็นปัญหาข้อพิพาทเรื่องเขตแดน ที่ซับซ้อนและละเอียดอ่อน โดยจะเจาะลึกไปใน 4 พื้นที่พิพาทสำคัญ ได้แก่ ช่องบก ปราสาทตาเมือนธม ปราสาทตาเมือนโต๊ด และปราสาทตาควาย
ช่องบก
ช่องบก คือพื้นที่ที่มีความสำคัญอย่างยิ่งทางภูมิรัฐศาสตร์ เนื่องจากเป็นพื้นที่บริเวณรอยต่อของชายแดน
ทั้งสามประเทศ ได้แก่ ไทย ลาว และกัมพูชา ซึ่งได้รับการขนานนามว่าเป็น “สามเหลี่ยมมรกต” (Emerald Triangle) ครอบคลุมพื้นที่ 12 ตารางกิโลเมตร ตั้งอยู่ในเขต ต.โดมประดิษฐ์ อ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานี
ข้อพิพาท: พื้นที่แห่งนี้เป็นเขตพิพาทระหว่างไทยและกัมพูชาที่ดำเนินมาอย่างยาวนาน เนื่องจากยังไม่มีการปักปันเขตแดนที่ชัดเจน ความขัดแย้งได้ปะทุขึ้นอีกครั้งเมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2568 เมื่อทหารกัมพูชาได้รุกล้ำเข้ามาขุดคูเลต ซึ่งถือเป็นการกระทำที่ละเมิดบันทึกความเข้าใจ (MOU) ปี พ.ศ. 2543 อย่างชัดเจน สถานการณ์ได้ทวีความตึงเครียดขึ้นเมื่อฝ่ายไทยส่งกำลังเข้าเจรจา แต่ฝ่ายกัมพูชาเป็นฝ่ายเปิดฉากยิงก่อน นำไปสู่การยิงปะทะกันนานประมาณ 10 นาที เหตุการณ์ดังกล่าวได้ส่งผลให้บรรยากาศตามแนวชายแดนกลับมาร้อนระอุอีกครั้ง
ปราสาทตาเมือนธม
ปราสาทตาเมือนธม เป็นปราสาทหินขนาดใหญ่ที่สุดใน “กลุ่มปราสาทตาเมือน” ซึ่งเป็นเทวสถานในศาสนาฮินดู ลัทธิไศวนิกาย สร้างขึ้นราวพุทธศตวรรษที่ 16-17 ตั้งอยู่ในบริเวณเทือกเขาพนมดงรัก ต.ตาเมียง อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์
ข้อพิพาท: ข้อพิพาทเหนือปราสาทตาเมือนธมมีรากฐานมาจากการที่เส้นเขตแดนบนแนวสันปันน้ำยังไม่ได้รับการปักปันอย่างเป็นทางการ ทำให้เกิดพื้นที่อ้างสิทธิ์ทับซ้อน โดยฝ่ายไทยยึดมั่นในหลักการสันปันน้ำสากลในการกำหนดเขตแดน ขณะที่ฝ่ายกัมพูชาก็มีการอ้างสิทธิ์เหนือตัวปราสาทและพื้นที่โดยรอบเช่นกันโดยความขัดแย้งที่เกิดขึ้นปรากฎให้เห็นใน 2 รูปแบบหลักคือ
1.การเผชิญหน้าทางการทหาร ชนวนเหตุการณ์ปะทะรอบล่าสุดเกิดจากเหตุทุ่นระเบิดที่ช่องอานม้า นำไปสู่คำสั่งปิดพื้นที่ปราสาทตาเมือนธมในวันที่ 24 กรกฎาคม เพื่อเป็นมาตรการด้านความมั่นคง ต่อมาได้เกิดการปะทะขึ้นโดยฝ่ายกัมพูชาเป็นผู้เปิดฉากยิงก่อน จุดชนวนความขัดแย้งที่ยืดเยื้อและลุกลามต่อเนื่องนานหลายวัน จนนำมาสู่ข้อตกลงหยุดยิงในเที่ยงคืนวันที่ 28 กรกฎาคม ซึ่งท้ายที่สุดฝ่ายไทยสามารถเข้าควบคุมพื้นที่ไว้ได้โดยสมบูรณ์
2.การต่อสู้เชิงสัญลักษณ์ จากกรณีที่มีการเผยแพร่ภาพชาวกัมพูชาและทหารขึ้นไปจัดกิจกรรมร้องเพลงปลุกใจบนตัวปราสาท ซึ่งฝ่ายไทยมองว่าเป็นการกระทำเพื่อแสดงออกเชิงสัญลักษณ์เพื่ออ้างสิทธิ์เหนือดินแดน
ปราสาทตาเมือนโต๊ด
ปราสาทตาเมือนโต๊ด เป็นหนึ่งในสามของกลุ่มปราสาทตาเมือน และมีสถานะที่สำคัญในเชิงประวัติศาสตร์ในฐานะ “อโรคยาศาล” หรือสถานพยาบาลประจำชุมชน สร้างขึ้นในรัชสมัยของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ราวพุทธศตวรรษที่ 18 โดยตั้งอยู่ห่างจากปราสาทตาเมือนธมไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือประมาน 750 เมตร
ข้อพิพาท: เนื่องจากตั้งอยู่ในพื้นที่ต่อเนื่องกับปราสาทตาเมือนธม ทำให้ปราสาทตาเมือนโต๊ดตกอยู่ในเขตพื้นที่พิพาทที่ยังไม่มีการปักปันเขตแดนที่ชัดเจนเช่นเดียวกัน ดังนั้นสถานการณ์ในปัจจุบันจึงถือเป็นพื้นที่ควบคุมทางทหาร ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในสมรภูมิการปะทะระหว่างไทยและกัมพูชา
ปราสาทตาควาย
ปราสาทตาควาย หรือ ปราสาทกรอเบย เป็นปราสาทหินทรายที่ตั้งอยู่บริเวณช่องตาควาย ต.บักได อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ โดยอยู่ใกล้กับ “ปราสาทตาเมือนธม” และ “ปราสาทตาเมือนโต๊ด” แต่เนื่องจากไม่มีลวดลายสลักทำให้การกำหนดอายุทำได้เพียงคร่าว ๆ ว่าอยู่ระหว่างพุทธศตวรรษที่ 16-18 ซึ่งบริเวณดังกล่าวเป็นพื้นที่ชายแดนที่มีเส้นเขตแดนยังไม่ชัดเจน จึงกลายเป็น “ยุทธศาสตร์” ที่สำคัญและสัญลักษณ์แห่งอธิปไตย ปัจจุบันเป็นพื้นที่ที่ทั้งไทยและกัมพูชาต่างอ้างสิทธิ์ครอบครอง
ข้อพิพาท: จากกรณีที่รัฐบาลกัมพูชา ประกาศยื่นคำร้องต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) เพื่อให้ตัดสินข้อพิพาทเกี่ยวกับพื้นที่ชายแดน ส่งผลให้ความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศสั่นคลอน กระทั่งเกิดเหตุปะทะกันอย่างต่อเนื่องส่งผลให้ทหารไทยเสียชีวิต รวมถึงส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตของประชาชนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ชายแดนใกล้เคียง หน่วยรบพิเศษของไทย ส่งเครื่องบินขับไล่ F-16 จำนวน 2 ลำปฏิบัติภารกิจโจมตีเชิงยุทธศาสตร์บริเวณปราสาทตาควาย เพื่อตัดเส้นทางส่งกำลังสนับสนุน และทำลายจุดตั้งปืนใหญ่ของกัมพูชา ซึ่งใช้ยิงโจมตีแนวกำลังทหารไทยในสมรภูมิปราสาทตาควาย โดยทหารไทยสามารถยึดคืนพื้นที่ได้สำเร็จก่อนเส้นตายหยุดยิง มีผลในเวลาเที่ยงคืนวันที่ 28 กรกฎาคม 2568
ข้อพิพาทเรื่องเขตแดนระหว่างไทยและกัมพูชา โดยเฉพาะในพื้นที่สำคัญอย่างปราสาทตาควาย ปราสาทตาเมือนธม และจุดยุทธศาสตร์อื่น ๆ สะท้อนให้เห็นถึง มิติที่ซับซ้อนของประวัติศาสตร์ กฎหมาย และผลประโยชน์แห่งชาติ ที่ยากจะคลี่คลาย เหตุการณ์ปะทะกันที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ไม่เพียงแต่สร้างความสูญเสียและบั่นทอนความสัมพันธ์ระดับทวิภาคี แต่ยังส่งผลกระทบโดยตรงต่อชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนในพื้นที่ชายแดน และอาจส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพของภูมิภาคในภาพรวมด้วย
อนาคตของความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชาและข้อพิพาทชายแดนยังคงเป็นสิ่งที่ต้องจับตา การแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืนจำเป็นต้องอาศัยทั้งการเจรจาในกรอบทวิภาคีที่จริงจัง การเคารพในกฎหมายระหว่างประเทศ และที่สำคัญที่สุดคือ การสร้างความเชื่อมั่นและฟื้นฟูความสัมพันธ์ที่ดี บนพื้นฐานของความเข้าใจซึ่งกันและกัน เพื่อให้พื้นที่ชายแดนที่เคยเป็นสมรภูมิแห่งความขัดแย้ง กลับกลายเป็นพื้นที่แห่งความร่วมมือและสันติสุขอย่างแท้จริง