ความขัดแย้งชายแดนระหว่างไทยและกัมพูชาที่ปะทุขึ้นอย่างรุนแรงในปี พ.ศ. 2568 มิใช่เพียงประเด็นทวิภาคีระหว่างสองประเทศ หากแต่กลายเป็นเวทีของการแสดงบทบาทของมหาอำนาจโลกและองค์กรระหว่างประเทศที่มีผลประโยชน์ในภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก บทความนี้จะสรุปบทบาทสำคัญของแต่ละฝ่าย โดยอ้างอิงจากแหล่งข่าวและบทวิเคราะห์หลากหลายด้าน

🇺🇸 สหรัฐอเมริกา: การแทรกแซงเชิงรุกผ่านการทูตและเศรษฐกิจ
สหรัฐอเมริกาเป็นหนึ่งในประเทศที่แสดงบทบาทอย่างชัดเจนที่สุดในการคลี่คลายความขัดแย้งชายแดนไทย-กัมพูชา โดยเน้นการใช้ทั้งเครื่องมือทางการทูตและเศรษฐกิจควบคู่กันไป ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แถลงเรียกร้องให้ทั้งสองฝ่ายหยุดยิงทันที และได้ดำเนินการติดต่อโดยตรงกับนายกรัฐมนตรีฮุน มาเนตของกัมพูชา และรักษาการนายกรัฐมนตรีภูมิธรรม เวชยชัยของไทย เพื่อหาทางออกอย่างสันติ (AP News)
นอกจากนี้ รัฐมนตรีต่างประเทศ มาร์โก รูบิโอ ยังมีบทบาทสำคัญในการประสานและเข้าร่วมการเจรจาระดับสูงที่จัดขึ้นในมาเลเซีย ซึ่งเป็นเวทีสำคัญที่นำไปสู่ข้อตกลงหยุดยิง โดยสหรัฐฯ รับบทเป็นผู้ร่วมจัดการประชุมดังกล่าว รัฐบาลสหรัฐฯ ยังได้ประกาศความพร้อมที่จะเป็นเจ้าภาพในการเจรจารอบต่อไปเพื่อให้เกิดความยั่งยืนในระยะยาว (CBS News)
ด้านเศรษฐกิจ ทรัมป์ได้ใช้มาตรการทางการค้ากดดัน โดยเตือนว่าหากความขัดแย้งยังดำเนินต่อไป สหรัฐฯ อาจระงับการเจรจาข้อตกลงการค้าเสรีกับประเทศที่ยังคงใช้ความรุนแรงอยู่ อย่างไรก็ตาม หลังจากมีการประกาศหยุดยิง เขาได้แจ้งว่าการเจรจาภาษีส่งออกของไทยสามารถกลับมาดำเนินต่อในทิศทางที่เป็นประโยชน์ได้อีกครั้ง (Security Council Report)
สถานทูตสหรัฐฯ ในกรุงเทพฯ ยังออกแถลงการณ์แสดงความห่วงใยอย่างยิ่งต่อความสูญเสียของพลเรือน และเรียกร้องให้ทุกฝ่ายเคารพหลักสิทธิมนุษยชนและหลักการคุ้มครองพลเรือนตามกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ (HRW)
🇨🇳 จีน: สนับสนุนการเจรจาและใช้อิทธิพลทางเศรษฐกิจอย่างเงียบ ๆ
จีนแสดงท่าทีอย่างระมัดระวัง โดยเรียกร้องให้ทั้งไทยและกัมพูชาแก้ไขปัญหาผ่านการเจรจาอย่างสันติ และยืนยันว่าจีนมีจุดยืนที่ “เป็นธรรมและเป็นกลาง” โฆษกกระทรวงการต่างประเทศ กัว จยาคุน กล่าวว่าจีนจะยังคงมีบทบาทสร้างสรรค์เพื่อส่งเสริมสันติภาพ และสนับสนุนกลไกของอาเซียนในการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทนี้ (Global Times)
รัฐมนตรีต่างประเทศจีน หวัง อี้ ยืนยันว่าจีนพร้อมจะมีส่วนร่วมในการลดความตึงเครียดหากได้รับการร้องขอ และได้เข้าร่วมการเจรจาหยุดยิงในมาเลเซียผ่านผู้แทนระดับเอกอัครราชทูต ทั้งนี้ จีนได้ออกคำแนะนำให้พลเมืองของตนหลีกเลี่ยงพื้นที่ชายแดนและติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะในจังหวัดพระวิหารและอุดรมีชัยที่เกิดการสู้รบอย่างหนัก (Straits Times)
จีนมีบทบาทสำคัญในฐานะคู่ค้ารายใหญ่และนักลงทุนในโครงการโครงสร้างพื้นฐานทั้งในไทยและกัมพูชา เช่น รถไฟความเร็วสูง โครงการเขตเศรษฐกิจพิเศษ และท่าเรือน้ำลึก สิ่งเหล่านี้ทำให้จีนสามารถใช้อิทธิพลทางเศรษฐกิจในการโน้มน้าวให้ทั้งสองฝ่ายกลับสู่โต๊ะเจรจา โดยไม่ต้องแทรกแซงโดยตรง
🇷🇺 รัสเซีย: แสดงความห่วงใย แต่มีข้อกล่าวหาว่าแอบสนับสนุนทางทหารแก่กัมพูชา
แม้รัสเซียจะแถลงแสดงความกังวลต่อสถานการณ์ชายแดนและเรียกร้องให้ใช้การเจรจาอย่างสันติ แต่ก็มีข้อกล่าวหามากมายเกี่ยวกับบทบาทของรัสเซียในการสนับสนุนทางทหารแก่กัมพูชา มาเรีย ซาคาโรวา โฆษกกระทรวงการต่างประเทศรัสเซีย กล่าวว่าปัญหาความขัดแย้งเหล่านี้มีรากฐานมาจากนโยบายอาณานิคมของชาติตะวันตก และควรแก้ไขด้วยจิตวิญญาณของความร่วมมือในภูมิภาคเอเชีย (Russia MFA)
อย่างไรก็ตาม มีรายงานว่าอาวุธที่กัมพูชาใช้โจมตีไทยในช่วงต้นของความขัดแย้ง รวมถึงจรวด BM-21 และกระสุนปืนใหญ่หลายชนิด เป็นอาวุธที่ผลิตในรัสเซีย อีกทั้งยังมีรายงานข่าวกรองจากฝั่งไทยที่ระบุว่า มีทหารรับจ้างรัสเซียเข้ามาเกี่ยวข้องในการฝึกการใช้โดรนกามิกาเซ่ในฝั่งกัมพูชา (Nation Thailand)
ไทยยังพบกับระเบิดสังหารผลิตในรัสเซียในพื้นที่ชายแดน ซึ่งไม่ใช่ชนิดที่กองทัพไทยใช้อยู่ตามมาตรฐาน นำไปสู่การเรียกร้องให้รัสเซียชี้แจงผ่านช่องทางการทูต (AP News)
บทวิเคราะห์จำนวนหนึ่งชี้ว่า รัสเซียอาจมองกัมพูชาเป็นพันธมิตรในภูมิภาค และอาจใช้โอกาสนี้ในการสร้างเครือข่ายทางทหาร หรือเสริมอิทธิพลในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ผ่านการฝึกอบรมและสนับสนุนทางเทคโนโลยีอย่างไม่เป็นทางการ
🇯🇵 ญี่ปุ่น: สนับสนุนการเจรจาและเสถียรภาพในภูมิภาค
ญี่ปุ่นออกแถลงการณ์แสดงความกังวลอย่างยิ่งต่อความขัดแย้งที่เกิดขึ้น โดยระบุว่า “ความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างกัมพูชาและไทยมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อสันติภาพและเสถียรภาพของภูมิภาค” ญี่ปุ่นเรียกร้องให้ทั้งสองฝ่ายใช้ความยับยั้งชั่งใจอย่างสูงสุด และย้ำว่าแนวทางแก้ไขที่ยั่งยืนต้องอาศัยการเจรจาและความร่วมมือจากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง (MOFA Japan)
ญี่ปุ่นยังชื่นชมการดำเนินการของสหรัฐฯ และมาเลเซียที่ช่วยนำไปสู่ข้อตกลงหยุดยิง และให้คำมั่นว่าจะสนับสนุนการลดความรุนแรงอย่างต่อเนื่อง ร่วมกับประชาคมระหว่างประเทศ ญี่ปุ่นเองยังเป็นนักลงทุนรายใหญ่ในโครงการโลจิสติกส์และการผลิตของทั้งไทยและกัมพูชา ทำให้มีผลประโยชน์โดยตรงในการรักษาเสถียรภาพของภูมิภาค (Nation Thailand)
🇪🇺 สหภาพยุโรป: เน้นสิทธิมนุษยชนและหลักกฎหมายระหว่างประเทศ
สหภาพยุโรป (EU) ได้แสดงบทบาทในฐานะผู้สนับสนุนการแก้ปัญหาอย่างสันติ โดยเน้นการอ้างอิงต่อกฎหมายระหว่างประเทศและหลักสิทธิมนุษยชนเป็นหลัก โฆษกด้านนโยบายต่างประเทศของ EU ออกแถลงการณ์เรียกร้องให้ไทยและกัมพูชาลดระดับความตึงเครียด หยุดใช้กำลัง และเข้าสู่โต๊ะเจรจาโดยเร็วที่สุด โดยย้ำว่าการใช้ความรุนแรงจะส่งผลเสียต่อพลเรือนอย่างร้ายแรงและอาจละเมิดกฎหมายมนุษยธรรมสากล (Anadolu Agency)
ฝรั่งเศส ซึ่งเป็นหนึ่งในสมาชิกหลักของสหภาพยุโรป ได้ออกคำเตือนพลเมืองฝรั่งเศสให้หลีกเลี่ยงการเดินทางไปยังพื้นที่ชายแดนที่ได้รับผลกระทบ พร้อมแสดงความกังวลต่อจำนวนผู้เสียชีวิตที่เพิ่มขึ้น และสนับสนุนให้มีการปกป้องพลเรือนอย่างเคร่งครัดตามกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ (UN News)
บทบาทของ EU แม้จะไม่ได้มีอำนาจทางทหารหรือเศรษฐกิจโดยตรงในภูมิภาคเทียบเท่าจีนหรือสหรัฐฯ แต่ก็ถือเป็น “อำนาจเชิงบรรทัดฐาน” (normative power) ที่ใช้หลักการสิทธิมนุษยชน กฎหมายระหว่างประเทศ และการเจรจาเป็นเครื่องมือในการสร้างแรงกดดันทางการทูตต่อคู่ขัดแย้ง โดยหวังว่าจะส่งเสริมให้เกิดกระบวนการแก้ไขข้อพิพาทอย่างยั่งยืนและเป็นธรรม
🇮🇳 อินเดีย: ปฏิบัติการปกป้องพลเมืองเป็นหลัก หลีกเลี่ยงการแทรกแซงโดยตรง
อินเดียได้ดำเนินการตอบสนองอย่างรวดเร็วในด้านการคุ้มครองพลเมือง โดยสถานทูตอินเดียในกัมพูชาได้ออกคำแนะนำ (advisory) ให้พลเมืองอินเดียหลีกเลี่ยงการเดินทางไปยังพื้นที่ชายแดน และจัดตั้งช่องทางติดต่อฉุกเฉินสำหรับผู้ที่อยู่ในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ (Times of India)
ในฝั่งไทย สถานทูตอินเดียในกรุงเทพฯ ได้ออกประกาศคล้ายกัน พร้อมทั้งให้คำแนะนำแก่นักท่องเที่ยวชาวอินเดียให้ตรวจสอบสถานการณ์อย่างใกล้ชิดก่อนการเดินทางไปยังจังหวัดใกล้แนวชายแดนที่มีการปะทะกัน อินเดียไม่ได้ออกแถลงการณ์ทูตที่เข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง และไม่ได้เข้าร่วมการเจรจาหยุดยิงในมาเลเซีย ซึ่งสะท้อนถึงจุดยืนที่เลือกวางตัวเป็นกลางและมุ่งเน้นที่ผลประโยชน์ของตนเองเป็นหลัก (Xinhua)
นักวิเคราะห์บางรายมองว่าท่าทีของอินเดียเป็นการเลือกใช้นโยบาย “การทูตเชิงปฏิบัติ” (pragmatic diplomacy) โดยเน้นความมั่นคงของพลเมือง การรักษาภาพลักษณ์ความเป็นกลางในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับมหาอำนาจอื่นในภูมิภาค โดยเฉพาะจีนซึ่งมีบทบาทสูงในความขัดแย้งนี้
นัยสำคัญทางภูมิรัฐศาสตร์จากความขัดแย้งชายแดนไทย–กัมพูชา ปี 2568
ความขัดแย้งชายแดนระหว่างไทยและกัมพูชาที่ปะทุขึ้นในปี พ.ศ. 2568 ได้กลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในพลวัตทางภูมิรัฐศาสตร์ของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จากเหตุการณ์ที่ดูเหมือนเป็นข้อพิพาททวิภาคี กลับกลายเป็นเวทีแสดงบทบาทของมหาอำนาจโลก และทดสอบความสามารถขององค์กรระดับภูมิภาคอย่างอาเซียนในการรักษาเสถียรภาพและความมั่นคงในภูมิภาค
อาเซียน: บททดสอบของความเป็นแกนกลาง
ความขัดแย้งครั้งนี้ถือเป็น “บททดสอบ” ของอาเซียนในการรักษาหลักการไม่แทรกแซง การแก้ไขข้อพิพาทอย่างสันติ และการคงบทบาทในฐานะแกนกลางทางการเมืองของภูมิภาค แม้จะสามารถเป็นเจ้าภาพการเจรจาหยุดยิงในมาเลเซียได้สำเร็จ แต่อาเซียนยังเผชิญข้อจำกัดด้านกลไกการบังคับใช้ และอิทธิพลของมหาอำนาจภายนอกที่เพิ่มสูงขึ้น อาจทำให้ความสามารถในการเป็นผู้นำในการไกล่เกลี่ยความขัดแย้งถูกลดบทบาทลง หากไม่มีการปฏิรูปหรือพัฒนาศักยภาพเพิ่มเติม
มหาอำนาจโลก: เข้าสู่สมรภูมิอย่างเปิดเผย
การเข้ามาเกี่ยวข้องของมหาอำนาจอย่างสหรัฐอเมริกา จีน และรัสเซีย แสดงให้เห็นถึงการแข่งขันทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ชัดเจนในภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก
- สหรัฐอเมริกา ใช้การแทรกแซงทางการทูตและเศรษฐกิจอย่างแข็งขัน โดยผลักดันให้เกิดการหยุดยิงผ่านการเจรจาและขู่งดความร่วมมือทางการค้า
- จีน ดำเนินบทบาทด้วยความระมัดระวัง โดยสนับสนุนกลไกของอาเซียน และใช้อิทธิพลทางเศรษฐกิจในเชิงสร้างสรรค์เพื่อคลี่คลายสถานการณ์
- รัสเซีย แม้แสดงท่าทีสนับสนุนสันติภาพ แต่กลับถูกตั้งข้อสงสัยเรื่องการสนับสนุนทางทหารแก่กัมพูชา ซึ่งทำให้ภาพลักษณ์การเป็นผู้รักษาสันติถูกตั้งคำถาม
ความสัมพันธ์ระหว่างมหาอำนาจเหล่านี้สะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงของสมดุลอำนาจในภูมิภาค และเน้นย้ำว่าเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ไม่ใช่เพียงเวทีของประเทศเล็ก ๆ อีกต่อไป แต่เป็นสมรภูมิที่มหาอำนาจใช้แสดงอิทธิพลและช่วงชิงผลประโยชน์เชิงยุทธศาสตร์
ประชาคมโลก: การเน้นสิทธิมนุษยชนและการคุ้มครองพลเรือน
สหประชาชาติและสหภาพยุโรปเน้นหนักในประเด็นสิทธิมนุษยชน โดยเรียกร้องให้มีการหยุดยิงทันทีและคุ้มครองพลเรือนตามหลักกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ ส่วนอินเดีย แม้จะหลีกเลี่ยงการแทรกแซงโดยตรง แต่ก็ได้ออกคำแนะนำการเดินทางและดำเนินมาตรการเพื่อคุ้มครองพลเมืองของตนเองในพื้นที่ขัดแย้ง
ความเสี่ยงระยะยาวและความจำเป็นในการเจรจาที่ยั่งยืน
แม้ว่าการเจรจาหยุดยิงจะช่วยบรรเทาสถานการณ์เฉพาะหน้า แต่ต้นเหตุของความขัดแย้งที่มีรากฐานจากแผนที่และสนธิสัญญาในยุคอาณานิคมยังคงไม่ได้รับการแก้ไข ความคับข้องใจทางประวัติศาสตร์เหล่านี้ หากไม่ได้รับการจัดการอย่างเป็นระบบ ย่อมนำไปสู่ความเสี่ยงของการปะทุซ้ำในอนาคต
บทเรียนเชิงยุทธศาสตร์
ความขัดแย้งไทย–กัมพูชาในปี 2568 สะท้อนภาพใหญ่ของการแข่งขันในอินโด-แปซิฟิก และชี้ให้เห็นว่าความมั่นคงของภูมิภาคต้องอาศัยการประสานระหว่าง:
- ความจริงใจในการเจรจาทวิภาคี
- กลไกภูมิภาคที่มีประสิทธิภาพ
- การจัดการอิทธิพลจากภายนอกอย่างรอบคอบ
- ที่สำคัญที่สุด คือ การให้ความสำคัญกับการคุ้มครองพลเรือนตามหลักกฎหมายสากล
หากประเทศในภูมิภาคและองค์กรระหว่างประเทศไม่สามารถดำเนินการอย่างสอดประสานกันได้ ความขัดแย้งทวิภาคีที่ดูเหมือนเล็ก อาจกลายเป็นไฟลามที่ส่งผลต่อเสถียรภาพของทั้งภูมิภาคในระยะยาว