
สถานการณ์การปะทะตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชาที่ยกระดับขึ้นในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2568 ได้ทำให้ประเด็นความขัดแย้งระหว่างสองประเทศกลายเป็นที่สนใจของประชาคมโลก ท่ามกลางความกังวลว่าสถานการณ์ดังกล่าวจะลุกลามกระทบต่อเสถียรภาพและความมั่นคงในภูมิภาค ขณะเดียวกัน ชื่อขององค์กรระหว่างประเทศได้ถูกพูดถึงมากขึ้นเช่นกัน ในฐานะกลไกสนับสนุนการแก้ไขความขัดแย้ง บทความนี้จึงขอพาไปทำความรู้จักบทบาทขององค์กรนานาชาติ รวมถึงกลไกระดับทวิภาคีเหล่านี้ให้มากขึ้น
ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (International Court of Justice : ICJ)
ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) เป็นองค์กรตุลาการหลักของสหประชาชาติ (UN) ทำหน้าที่สำคัญ 2 ประการ ดังนี้
1. วินิจฉัยข้อพิพาทระหว่างรัฐ (Contentious cases)
ICJ มีอำนาจพิจารณาและพิพากษาคดีข้อพิพาททางกฎหมายระหว่างรัฐที่ยินยอมรับเขตอำนาจของศาลเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอธิปไตย การใช้ทรัพยากรร่วม การปฏิบัติตามสนธิสัญญา หรือหลักกฎหมายระหว่างประเทศอื่น ๆ คำพิพากษาของศาลมีผลผูกพันคู่กรณีและไม่มีการอุทธรณ์
2. ให้ความเห็นเชิงแนะนำ (Advisory opinions)
ICJ มีอำนาจให้ความเห็นทางกฎหมายในลักษณะที่ไม่ผูกพัน (non-binding) ต่อประเด็นทางกฎหมายระหว่างประเทศตามคำร้องขอของสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ (UNGA), คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (UNSC) และองค์กรเฉพาะกิจอื่น ๆ ของสหประชาชาติที่ได้รับอนุญาตจาก UNGA
[Ref: https://www.mfa.go.th/th/content/infographic-icj]
ท่าทีไทยต่อการยื่นหนังสือโดยกัมพูชาต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) เกี่ยวกับพื้นที่ สามเหลี่ยมมรกต ปราสาทตาเมือนธม ปราสาทตาเมือนโต๊ด และปราสาทตาควาย
"ประเทศไทยไม่ยอมรับเขตอำนาจของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2503 ซึ่งเป็นท่าทีเดียวกับประเทศสมาชิกสหประชาชาติอีก 118 ประเทศ"
โดยไทยมีความเห็นว่า การนำเรื่องไปสู่ฝ่ายที่สามอาจไม่ใช่หนทางที่ดีที่สุดในการรักษาความสัมพันธ์ระหว่างไทย-กัมพูชา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเด็นละเอียดอ่อนที่มีมิติทางประวัติศาสตร์ ดินแดน และการเมืองที่ซับซ้อน
ประเทศไทยจึงยืนยันว่าปัญหาเขตแดนในปัจจุบันควรถูกแก้ไขผ่านกลไกทวิภาคีที่มีอยู่ระหว่างสองฝ่าย ซึ่งรวมถึงคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (JBC) คณะกรรมการชายแดนทั่วไป (GBC) และคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค (RBC) ตลอดจนเวทีทวิภาคีอื่น ๆ
อนึ่ง เมื่อวันที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2568 กัมพูชาได้ยื่นหนังสืออย่างเป็นทางการต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) เพื่อขอให้ศาลหาทางออกเกี่ยวกับข้อพิพาทบริเวณชายแดน 4 จุดกับประเทศไทย ขณะที่ฝ่ายไทยได้แสดงความผิดหวังอย่างยิ่งต่อการดำเนินการฝ่ายเดียวของกัมพูชา เพราะประเด็นเรื่องเขตแดนอยู่ในการทำงานของ JBC ซึ่งมีประสิทธิภาพต่อเนื่องมานานกว่า 25 ปี อีกทั้งรัฐบาลไทยยืนยันไม่ยอมรับเขตอำนาจศาลมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2503
Ref:
https://www.mfa.go.th/th/content/thai-position-response-to-cambodia-icj-th
https://www.infoquest.co.th/2025/503305
https://www.infoquest.co.th/2025/504766
คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (United Nations Security Council: UNSC)
ภายใต้กฎบัตรสหประชาชาติ คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (UNSC) มีหน้าที่รักษาสันติภาพและความมั่นคงระหว่างประเทศ รวมถึงการสอบสวนข้อพิพาทที่อาจนำไปสู่ความขัดแย้งระหว่างประเทศ การแนะนำวิธีการแก้ไขข้อพิพาท การพิจารณาการมีอยู่ของภัยคุกคามต่อสันติภาพหรือการกระทำที่รุกราน การกำหนดมาตรการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจ และการอนุญาตให้มีการดำเนินการทางทหารหรือภารกิจรักษาสันติภาพ
คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ประกอบด้วยสมาชิกทั้งหมด 15 ประเทศ โดย 5 ประเทศเป็นสมาชิกถาวร (Permanent Members) ได้แก่ จีน ฝรั่งเศส รัสเซีย สหราชอาณาจักร สหรัฐอเมริกา และอีก 10 ประเทศเป็นสมาชิกไม่ถาวร (Non-Permanent Members) ซึ่งจะมีการเลือกตั้งหมุนเวียนไปในทุกภูมิภาค ประเทศที่ได้รับเลือกเป็นสมาชิกไม่ถาวรจะดำรงตำแหน่ง 2 ปีเต็ม เริ่มตั้งแต่เดือนมกราคม-เดือนธันวาคมปีถัดไป
สมาชิกถาวร 5 ประเทศสามารถใช้ “สิทธิยับยั้ง” (Veto) การตัดสินใจต่าง ๆ ทั้งนี้ หากสมาชิกถาวรอย่างน้อย 1 ประเทศ คัดค้านข้อมติหรือข้อตัดสินใจใด ข้อมติหรือข้อตัดสินใจนั้นก็จะไม่ได้รับการรับรองหรือดำเนินการต่อ ยกเว้นว่าเป็นกรณีคำวินิจฉัยเรื่องวิธีการดำเนินการ (Procedural Matters) ซึ่งต้องการเสียงความเห็นชอบจากสมาชิกประเภทใดก็ได้จำนวนอย่างน้อย 9 ประเทศ
สำหรับในกรณีความขัดแย้งระหว่างไทยกับกัมพูชา UNSC ได้เข้ามามีบทบาท ณ ช่วงเวลาต่าง ๆ ดังนี้
พ.ศ. 2551: หลังเกิดสถานการณ์ตึงเครียดเกี่ยวกับพื้นที่โดยรอบปราสาทพระวิหาร กัมพูชาได้ส่งหนังสือเรียกร้องให้คณะมนตรีฯ จัดประชุมเร่งด่วนเพื่อคลี่คลายสถานการณ์ ขณะที่ฝ่ายไทยต้องการแก้ไขปัญหาผ่านกลไกทวิภาคี ซึ่งในที่สุด ทั้งสองฝ่ายตกลงหารือแก้ไขความขัดแย้งผ่านคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (JBC) ประกอบกับ ณ เวลานั้น คณะมนตรีฯ เห็นว่าคำขอมาจากกัมพูชาฝ่ายเดียว จึงยังไม่หยิบยกประเด็นนี้ขึ้นมาพิจารณา
พ.ศ. 2554: หลังจากการปะทะอย่างรุนแรงกันระหว่างกองกำลังไทยกับกัมพูชาบริเวณใกล้เคียงปราสาทพระวิหาร ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต กัมพูชาได้ร้องขอให้มีการจัดประชุมเร่งด่วนอีกครั้ง และคณะมนตรีฯ ได้จัดการประชุมแบบปิดเมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ โดยแสดง “ความกังวลอย่างยิ่ง” และเรียกร้องให้มีการหยุดยิง พร้อมทั้งกระตุ้นให้คู่ขัดแย้งแก้ไขสถานการณ์อย่างสันติผ่านกลไกที่จัดตั้งขึ้น
พ.ศ. 2568: การจัดประชุมฉุกเฉินแบบปิดเมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม ตามคำร้องขอของกัมพูชาหลังจากเกิดเหตุปะทะรุนแรงเมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม โดยกัมพูชากล่าวหาไทยว่าใช้กำลังทหารรุกรานโดยไตร่ตรองไว้ล่วงหน้า ด้านไทยได้ยื่นหนังสือต่อประธาน UNSC ชี้แจงเหตุการณ์การใช้กำลังทหารของไทยที่เริ่มโดยฝ่ายกัมพูชา อีกทั้งกัมพูชายังได้ละเมิดพันธกรณีระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้อง
ทั้งนี้ จากการเปิดเผยของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของไทยภายหลังการประชุมนั้น ที่ประชุม UNSC ได้เรียกร้องให้กัมพูชาและไทยใช้การยับยั้งชั่งใจ ลดความตึงเครียด หยุดยิง และแก้ไขปัญหาโดยสันติวิธี ซึ่งรวมถึงการใช้การทูตและการเจรจาทวิภาคีบนพื้นฐานของหลักการเป็นเพื่อนบ้านที่ดี สนับสนุนบทบาทของอาเซียนในการใกล่เกลี่ยความขัดแย้ง ตามหลักการของกฎบัตรอาเซียน และย้ำว่า สถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ไม่ได้เป็นภัยคุกคามต่อสันติภาพและความมั่นคงระหว่างประเทศ โดยที่ประชุม UNSC ไม่ได้มีมติหรือการออกเอกสารใด ๆ หลังการประชุม
สมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรืออาเซียน (Association of Southeast Asian Nations: ASEAN)
อาเซียนก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2510 เพื่อส่งเสริมความร่วมมือระดับภูมิภาคและป้องกันความขัดแย้งภายในระหว่างสมาชิก โดยมีสนธิสัญญามิตรภาพและความร่วมมือในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (TAC) ซึ่งลงนามในปี พ.ศ. 2519 เป็นสนธิสัญญาที่มีผลผูกพันทางกฎหมายฉบับแรกและเป็นรากฐานสำคัญขององค์กรอาเซียน ซึ่งหลักการสำคัญที่ระบุไว้ในมาตรา 2 ของ TAC ได้แก่ การเคารพซึ่งกันและกันในเอกราชและอธิปไตย การไม่แทรกแซงกิจการภายใน การระงับข้อพิพาทโดยสันติวิธี และการละเว้นจากการคุกคามหรือการใช้กำลัง
ทั้งนี้ อาเซียนได้เข้ามามีบทบาทในการคลี่คลายความขัดแย้งระหว่างไทยและกัมพูชาครั้งล่าสุด โดยหลังจากเหตุปะทะตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชาได้ยกระดับความรุนแรงขึ้นเมื่อวันที่ 24 กรกฎาคมที่ผ่านมา จนมีทหารและพลเรือนเสียชีวิตเป็นจำนวนมาก มาเลเซีย ในฐานะประธานอาเซียน จึงได้เสนอเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมหารือแนวทางสันติภาพระหว่างไทยกับกัมพูชา ซึ่งผลเจรจา สองฝ่ายเห็นพ้องตกลงหยุดยิง พร้อมทั้งบรรลุความเข้าใจร่วมกันดังนี้:
- การหยุดยิงทันทีโดยไม่มีเงื่อนไข มีผลตั้งแต่เวลา 24:00 น. (เที่ยงคืน) ของวันที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2568
- การประชุมอย่างไม่เป็นทางการระหว่างของผู้บัญชาการทหารระดับภูมิภาคของสองประเทศ ในวันที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2568 จากนั้นจะมีการประชุมกับผู้ช่วยทูตฝ่ายทหาร (Defense Attaches) โดยมีประธานอาเซียนเป็นผู้จัด หากทั้งสองฝ่ายเห็นชอบร่วมกัน
- การประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (GBC) ในวันที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2568 โดยกัมพูชาเป็นเจ้าภาพ
นอกจากนี้ ทั้งสองฝ่ายยังตกลงที่จะฟื้นฟูช่องทางการสื่อสารโดยตรงระหว่างนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมของแต่ละประเทศ
ทั้งนี้ กระทรวงการต่างประเทศของไทยยังได้แถลงเน้นย้ำในเวลาต่อมาว่า การเจรจาที่เกิดขึ้นถือเป็นการรื้อฟื้นให้ทั้งสองฝ่ายกลับสู่โต๊ะเจรจาทวิภาคี ซึ่งรวมถึงการประชุมในกรอบของ GBC ที่จะเกิดขึ้นในวันที่ 4 ส.ค. และ JBC ในเดือน ก.ย.
กลไกระดับทวิภาคี ไทย - กัมพูชา ด้านชายแดน
คณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (Joint Boundary Commission - JBC)
เป็นกลไกทวิภาคีที่สำคัญในการหารือกันทางเทคนิคและข้อกฎหมายระหว่างประเทศ จัดตั้งขึ้นตามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบกปี (MOU 2543) เพื่อทำการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบกของทั้งสองประเทศเป็นไปตามสนธิสัญญาสยาม – ฝรั่งเศส
คณะกรรมการชายแดนทั่วไป (General Border Committee - GBC)
เป็นกลไกทวิภาคีระดับสูงของฝ่ายทหาร มีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมไทยกับกัมพูชาเป็นประธานร่วม เพื่อหารือในการกำหนดแนวทางและมาตรการที่เหมาะสมเกี่ยวกับการส่งเสริมความร่วมมือและการรักษาความสงบเรียบร้อยในพื้นที่ชายแดนของทั้งสองประเทศ
คณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค (Regional Border Committee - RBC)
เป็นกลไกความร่วมมือทางทหารระดับภูมิภาคระหว่างไทยและกัมพูชา มีหน้าที่หลักในการหารือเพื่อบริหารจัดการ พัฒนา และส่งเสริมความร่วมมือในการรักษาความสงบเรียบร้อยในพื้นที่ชายแดน ตลอดจน จัดการสถานการณ์เฉพาะหน้าอื่น ๆ โดยมีแม่ทัพภาคของไทยหรือตำแหน่งที่เทียบเท่าเป็นประธานร่วมกับฝ่ายกัมพูชา และแบ่งความรับผิดชอบออกเป็น 3 ส่วนตามพื้นที่ชายแดน ได้แก่ ชายแดนด้านภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนใต้ ชายแดนด้านภาคตะวันออกตอนบน และชายแดนด้านภาคตะวันออกตอนล่าง
[Ref: mfa.go.th, matichon.co.th]
บทสรุป
เหตุการณ์ความขัดแย้งไทย-กัมพูชา โดยเฉพาะสถานการณ์ปะทะในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2568 ได้เผยให้เห็นถึงความซับซ้อนของการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งระหว่างประเทศ และเน้นย้ำถึงความสำคัญของการเจรจาทวิภาคีในฐานะกลไกหลักในการบรรเทาความตึงเครียดระหว่างสองประเทศ แม้ว่าบทบาทของอาเซียนในฐานะกลไกระดับภูมิภาคจะมีความสำคัญในการอำนวยความสะดวกและผลักดันให้เกิดการเจรจา และองค์กรระดับโลกอย่างคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (UNSC) จะเข้ามามีบทบาทเมื่อสถานการณ์วิกฤตรุนแรงขึ้น เพื่อเรียกร้องความยับยั้งชั่งใจและสนับสนุนการเจรจา
แต่ท้ายที่สุดแล้ว กลไกทวิภาคี (เช่น คณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม) ยังคงเป็นพื้นฐานสำคัญในการแสวงหาทางออกอย่างยั่งยืน การแก้ไขปัญหาอย่างแท้จริงจึงต้องอาศัยการประสานงานของแนวทางที่หลากหลาย ตั้งแต่การดำเนินงานด้านกฎหมายระหว่างประเทศ การตอบสนองด้านมนุษยธรรม ไปจนถึงการเจรจาทวิภาคี และการทูตในทุกระดับ