จากสถานการณ์มหาอุทกภัยภาคใต้ที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะพื้นที่หาดใหญ่ จ.สงขลา ที่ระบบสื่อสารล่ม ไฟฟ้าดับ เส้นทางถูกตัดขาด หน่วยงานรัฐและทีมกู้ภัยไม่สามารถเข้าช่วยเหลือได้ ประชาชนจำนวนมากที่ติดค้างท่ามกลางมวลน้ำมหาศาล จึงหันมาใช้โซเชียลมีเดียเป็น "ช่องทางฉุกเฉินขอความช่วยเหลือ" แทนการโทร.หาหน่วยงานรัฐ
จากการติดตามข้อมูลบนโซเชียลมีเดียทุกแพลตฟอร์ม ทั้ง Facebook, Instagram, X, TikTok, YouTube และ Pantip ผ่านเครื่องมือ Social Listening (dxt:360) ของบริษัท ดาต้าเซ็ต จำกัด ในช่วงวันที่ 20–25 พฤศจิกายน 2568 พบว่า ปริมาณโพสต์และคอมเมนต์ที่พูดถึงสถานการณ์น้ำท่วมภาคใต้เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด จากเพียง 1,861 ข้อความ ในวันที่ 20 พฤศจิกายน พุ่งสูงขึ้นเป็นมากกว่า 27,000 ข้อความ ในวันที่ 25 พฤศจิกายน 2568 ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความรุนแรงของสถานการณ์และกระแสความเคลื่อนไหวของผู้ใช้โซเชียลที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
โดยเฉพาะวันที่ 24–25 พฤศจิกายน มีคอมเมนต์ร้องขอความช่วยเหลือรวมเกือบ 16,000 ข้อความ ซึ่งเป็นสิ่งที่สะท้อนให้เห็นว่าในภาวะวิกฤตครั้งนี้ ผู้คนหันไปใช้โซเชียลมีเดียเป็น “ช่องทางแจ้งเหตุและร้องขอความช่วยเหลือ” แบบเร่งด่วนและเป็นบทบาทสำคัญของโซเชียลมีเดียเด่นชัดขึ้นในช่วงภัยพิบัติครั้งนี้
บทความนี้สรุปอินไซต์สำคัญที่ได้จาก Social Listening เพื่อสะท้อนพฤติกรรมของผู้คนในโซเชียลมีเดียช่วงภาวะวิกฤตน้ำท่วม
ผู้ประสบภัยใช้ “โซเชียลมีเดีย” เป็นช่องทาง SOS
ในสถานการณ์น้ำท่วมใหญ่ภาคใต้ โดยเฉพาะในพื้นที่หาดใหญ่ที่มีประชาชนตกค้างจำนวนมากเนื่องจากน้ำท่วมสูงไม่สามารถอพยพได้ทัน ผู้ประสบภัยหลายพื้นที่หันมาใช้โซเชียลมีเดียเป็นช่องทางขอความช่วยเหลือหลัก โดยไปแจ้งพิกัดบ้านที่ประสบภัยในช่องคอมเมนต์ใต้โพสต์ของเพจอินฟลูเอนเซอร์ชื่อดัง หรือเพจสื่อชั้นนำ ที่มี Engagement และ Reach สูง เพื่อไม่ให้เสียงของผู้ประสบภัยจมหายไปกับสายน้ำ
พฤติกรรมนี้ทำให้เห็นว่า ผู้คนจำนวนมากหันใช้ช่องทางบนโซเชียลมีเดียในการแจ้งขอความช่วยเหลือ แทนการโทรศัพท์เข้าศูนย์รับเรื่องฉุกเฉิน เพราะเจอปัญหา “โทรไม่ติด” “โทรแล้วไม่มีคนรับสาย” เสียงสะท้อนเหล่านี้ อาจเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ผู้คนหันไปใช้โซเชียลมีเดียแทนเพราะเป็นช่องทางที่เห็นผลรวดเร็วกว่า แบบ “เพื่อนช่วยเพื่อน”
ประชาชนจึงต้อง “ปักหมุดช่วยชีวิต” บนโซเชียล เพื่อให้ทีมอาสาและเครือข่ายออนไลน์ช่วยแชร์ข้อความ ส่งต่อไปยังทีมกู้ภัยในพื้นที่ เพื่อให้เข้าถึงบ้านที่รอการช่วยเหลือได้เร็วที่สุด
นอกจากนี้ ยังมีการพัฒนาแพลตฟอร์มออนไลน์เพื่อรวบรวมข้อมูลผู้ประสบภัยอย่างเป็นระบบ อาทิ เว็บไซต์ “หาดใหญ่ต้องรอด” ที่นิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้พัฒนาขึ้น เพื่อรวบรวมพิกัดของผู้ประสบภัยและผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือไว้ในที่เดียว ทำให้ทีมกู้ภัยสามารถเข้าถึงจุดที่ต้องการความช่วยเหลือได้รวดเร็วขึ้น
“นักข่าวพลเมือง” คือแหล่งข้อมูลที่คนเชื่อใจที่สุดตอนนี้
คลิปสั้นจากคนในพื้นที่ที่คอยอัปเดตสถานการณ์น้ำ ภาพการเดินลุยน้ำ ไลฟ์สดระดับน้ำ เพื่อให้คนในพื้นที่หรือคนนอกพื้นที่รับรู้เหตุการณ์ว่า วันนี้ระดับน้ำหนักกว่าเมื่อวานไหม? ได้รับความสนใจสูง บางคลิปถูกแชร์มากกว่าคลิปจากสื่อหลัก หรือแม้แต่สื่อหลักก็หยิบนำไปเผยแพร่ต่อ
เพจอินฟลูฯ ท้องถิ่น, เพจข่าวจังหวัด, หรือแม้แต่ “ผู้ประสบภัยที่ไลฟ์สด” กลายเป็นผู้ให้ข้อมูลสำคัญที่ทุกคนพึ่งพา
คอนเทนต์ How-to หรือการเอาตัวรอด ได้รับความสนใจ ถูกแชร์มากขึ้น
เช่น วิธีเตรียมอาหารง่าย ๆ แนะนำอาหารที่เก็บได้นาน วิธีเก็บของขึ้นที่สูง วิธีป้องกันไฟดูด วิธีดูแลผู้ป่วยติดเตียงในภาวะน้ำท่วม การป้องกันงู/สัตว์เลื้อยคลานเข้าบ้าน วิธีทำให้อายุแบตเตอรี่โทรศัพท์อยู่ได้นาน เป็นต้น
อย่างกรณีโพสต์ “แนะนำอาหารที่จะส่งไปช่วยเหลือภัยพิบัติน้ำท่วมที่หาดใหญ่” ของบัญชีเฟซบุ๊กชื่อ “พรุ่งนี้ค่อยลด by กันย์” มีการแชร์สูงถึงกว่า 4,800 ครั้ง
พื้นที่ภาคใต้ที่ถูกพูดถึงในสถานการณ์ “น้ำท่วม”
จากข้อมูล Social Listening ในวันที่ 24-25 พฤศจิกายน พบว่าพื้นที่ที่ได้รับการพูดถึง (Mention) มากที่สุดคือ จ.สงขลา โดยเฉพาะ อ.หาดใหญ่ ซึ่งมีทั้งโพสต์และคอมเมนต์พุ่งสูงสุด ตามด้วย จ.สตูล จ.ปัตตานี อ.เบตง และ จ.ยะลา
ข้อมูลนี้สอดคล้องกับประกาศของภาครัฐที่ระบุว่ามีประชาชนได้รับผลกระทบจากมหาอุทกภัยใน 9 จังหวัด ได้แก่ สงขลา สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช ตรัง พัทลุง สตูล ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส
อยุธยา-อ่างทอง ยังมีการพูดถึง “น้ำท่วม”
ข้อมูลจาก Social Listening ในวันที่ 24-25 พฤศจิกายน พบว่าพื้นที่ภาคกลางยังคงมีการพูดถึงสถานการณ์น้ำท่วมอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในพื้นที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยาและอ่างทองที่ยังคงประสบปัญหาน้ำท่วมอยู่ในบางพื้นที่
———————————————-
โดยสรุป จากข้อมูล Social Listening ทำให้เห็นว่า “น้ำท่วม” ปีนี้ จัดว่าเป็นปีที่ผู้คน “พึ่งพาโซเชียลสูงขึ้น” เป็นอันดับต้น ๆ ยิ่งในสภาวะที่เกิดวิกฤตน้ำท่วมเช่นตอนนี้ จากเดิมที่คนไทยใช้โซเชียลมีเดียเพื่อแจ้งและรับข่าวสาร มาวันนี้! โซเชียลมีเดีย ยังเพิ่มบทบาทใหม่ในการเป็นช่องทาง “ขอความช่วยเหลือ” ที่สำคัญอีกด้วย
by Pornlada Panichakul | Data Insight by Patchreeporn Pornapirat




