ภูมิทัศน์สื่อไทย 1 ทศวรรษ จาก Digital Disruption สู่สมรภูมิ AI

ตลอด 10 ปีที่ผ่านมา (2559–2568) วงการสื่อไทยเผชิญการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่จากคลื่นเทคโนโลยีดิจิทัลที่พัฒนาอย่างรวดเร็ว สื่อดั้งเดิมถูกบีบให้ต้องเร่งปรับตัว ขณะที่สื่อออนไลน์ก้าวมามีบทบาทและอิทธิพลมากขึ้นทั้งต่อผู้บริโภคและภาคเศรษฐกิจ ตั้งแต่ยุคสมาร์ตโฟนและโซเชียลมีเดียครองชีวิตประจำวัน ไปจนถึงแพลตฟอร์มสตรีมมิ่งที่เปลี่ยนพฤติกรรมความบันเทิง และล่าสุดคือเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่กำลังกำหนดทิศทางใหม่ให้กับทั้งกระบวนการผลิตเนื้อหา ความน่าเชื่อถือ และโมเดลธุรกิจของสื่อไทย

ในโอกาสครบรอบ 10 ปีของรายงานภูมิทัศน์สื่อไทย บริษัท ดาต้าเซ็ต จำกัด จึงรวบรวมข้อมูลและประเด็นสำคัญจากรายงานในช่วงที่ผ่านมา เพื่อทบทวน “จุดเปลี่ยน” ที่เกิดขึ้นจริง และชวนมองไปข้างหน้าว่า เมื่อโลกสื่อเข้าสู่ยุค AI อย่างเต็มตัว ผู้เล่นในวงการควรปรับตัวอย่างไรจึงจะยังคงยืนระยะได้ในสมรภูมิที่แข่งขันรุนแรงขึ้นทุกปี

ภาพรวม 10 ปีภูมิทัศน์สื่อไทย

  • 2559–2560: คนยังพึ่งสื่อดั้งเดิม แต่สื่อใหม่โตเร็ว สิ่งพิมพ์เริ่มถอยชัด
  • 2561–2562: สื่อเร่งรุกออนไลน์ เกิดการแข่งขันด้านเอนเกจเมนต์ ไวรัลวิดีโอและสตรีมมิ่งเริ่มเข้าสู่ตลาด
  • 2563–2564: โควิดเร่ง Digital Transformation สตรีมมิ่งเติบโตถาวร
  • 2565–2566: Next Normal ไม่มีช่องทางเดียวเข้าถึงทุกคน วิดีโอสั้นพุ่ง
  • 2567–2568: ยุค AI + Fragmentation ความน่าเชื่อถือและโมเดลรายได้สำคัญที่สุด

5 ยุคของภูมิทัศน์สื่อไทย (2559–2568)

การเปลี่ยนแปลงตลอดทศวรรษสามารถแบ่งได้เป็น 5 ช่วงหลัก โดยมีเทคโนโลยีและพฤติกรรมผู้บริโภคเป็นตัวกำหนดทิศทางร่วมกัน

1. ยุคแห่งการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล (2559–2560)

ในช่วงนี้ ผู้บริโภคจำนวนมากยังคงพึ่งพาสื่อดั้งเดิม (Traditional Media) เช่น โทรทัศน์ วิทยุ และหนังสือพิมพ์ ในการรับข้อมูลข่าวสาร แต่ขณะเดียวกัน สื่อใหม่ (New Media) อย่างเว็บไซต์และโซเชียลมีเดียเริ่มมีบทบาทเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง จากการใช้งานสมาร์ตโฟนที่แพร่หลายมากขึ้น ส่งผลให้ “การเข้าถึงข้อมูล” กลายเป็นเรื่องที่เร็วขึ้น ง่ายขึ้น และเกิดขึ้นได้ตลอดทั้งวัน

ภาพที่เห็นชัดคือ ขาลงของสื่อสิ่งพิมพ์ เม็ดเงินโฆษณาหันไปหาสื่อออนไลน์มากขึ้น เพราะเข้าถึงผู้บริโภคได้กว้างและวัดผลได้ง่ายกว่า ทำให้หนังสือพิมพ์และนิตยสารหลายหัวต้องปิดตัวลงหรือปรับรูปแบบไปอยู่บนออนไลน์แทน ในเวลาเดียวกัน แพลตฟอร์มอย่าง Facebook, LINE และ YouTube กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันของผู้คนอย่างแท้จริง และเริ่มมีการใช้เครื่องมือใหม่ เช่น Facebook Live เพื่อรายงานข่าวหรือโปรโมตสินค้าอย่างแพร่หลาย

ไฮไลต์ของยุคนี้

  • สื่อดั้งเดิมยังเป็นฐานหลัก แต่ “สื่อใหม่” เริ่มกินเวลาและความสนใจของผู้ชม
  • สิ่งพิมพ์เข้าสู่ขาลงชัดเจนจากการย้ายงบโฆษณาไปออนไลน์
  • โซเชียลมีเดียมีบทบาทสำคัญในชีวิตประจำวัน ทั้งในแง่ของการติดต่อสื่อสาร และการซื้อสินค้า

2. ยุคแห่งการเร่งปรับตัว (2561–2562)

เมื่อออนไลน์กลายเป็นสนามหลัก สื่อจำนวนมาก “รุกดิจิทัลเต็มรูปแบบ” ไม่ใช่แค่ย้ายช่องทาง แต่ต้องปรับวิธีคิดเรื่องคอนเทนต์เพื่อแข่งขันในโลกที่วัดผลด้วยยอดวิว ยอดแชร์ และเอนเกจเมนต์ ทำให้คอนเทนต์แนวไวรัลและรูปแบบที่บริโภคง่ายเติบโตอย่างรวดเร็ว

อีกด้านหนึ่ง สื่อบางส่วนเลือก “ยกระดับ” ด้วยการวางตัวเป็น Niche หรือ Premium Mass เพื่อแตกต่างจากการแข่งขันด้านความเร็วเพียงอย่างเดียว ขณะเดียวกัน รูปแบบคอนเทนต์ที่เด่นชัดในยุคนี้คือบริการแพร่ภาพและเสียงผ่านอินเทอร์เน็ต OTT TV (Streaming) ซึ่งเริ่มแย่งเวลาการรับชมจากทีวีดิจิทัลได้จริง

สื่อเองเริ่มตระหนักถึงความสำคัญของการใช้ Data Analysis และเครื่องมือออนไลน์เพื่อทำความเข้าใจผู้ชมให้มากขึ้น เพราะในสนามออนไลน์ “ความสนใจของคน” คือทรัพยากรที่มีการแข่งขันสูงที่สุด

ไฮไลต์ของยุคนี้

  • สื่อเร่งเป็น Omni-Channel และแข่งกันบนเอนเกจเมนต์/ไวรัล
  • OTT TV เริ่มแย่งชิงส่วนแบ่งผู้ชมจากทีวีดิจิทัลอย่างชัดเจน
  • การใช้ Data Analysis เริ่มกลายเป็นทักษะจำเป็นขององค์กรสื่อ

3. ยุควิกฤต COVID-19 เร่ง Digital Transformation (2563–2564)

วิกฤตโควิด-19 คือ “ตัวเร่ง” ที่ทำให้การเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลเกิดขึ้นเร็วและแรงกว่าที่คาด แม้เม็ดเงินโฆษณาภาพรวมจะหดตัวลง แต่พฤติกรรมผู้บริโภคจำนวนมากย้ายไปออนไลน์อย่างถาวร การทำงานแบบ Hybrid Working และเครื่องมือประชุมออนไลน์กลายเป็นเรื่องปกติ สื่อสามารถผลิตรายการ ไลฟ์สด หรือสัมภาษณ์ทางไกลได้โดยไม่ต้องอยู่ในสตูดิโอเหมือนเดิม

ในด้านพฤติกรรมการเสพสื่อ ช่วงล็อกดาวน์ทำให้ Streaming Platform เติบโตอย่างโดดเด่น ทั้ง YouTube, Netflix และ Disney+ กลายเป็นช่องทางหลักของความบันเทิง ในขณะเดียวกัน ผู้เล่นในประเทศก็ต้องรับแรงกดดันจากการแข่งขันที่รุนแรง ตัวอย่างหนึ่งคือ LINE TV แม้มีการเติบโตของผู้ชมในช่วงล็อกดาวน์ แต่ท้ายที่สุดก็ปิดให้บริการในปลายปี 2564

ไฮไลต์ของยุคนี้

  • โควิดทำให้การย้ายไปออนไลน์ “ไม่ใช่ทางเลือก” แต่เป็นความจำเป็น
  • Hybrid Working และเครื่องมือออนไลน์เปลี่ยนวิธีทำงานของสื่อ
  • สตรีมมิ่งเติบโตถาวร และการแข่งขันในตลาด OTT รุนแรงขึ้น

4. ยุค Next Normal (2565–2566)

หลังโควิดคลี่คลาย วงการสื่อเข้าสู่ยุคที่ “ไม่มี Mass Media ช่องทางเดียว” สามารถเข้าถึงคนทุกกลุ่มได้อีกต่อไป พฤติกรรมของผู้ชมกระจายตัวมากขึ้น การสื่อสารที่มีประสิทธิภาพจึงต้องออกแบบแบบ Multichannel อย่างจริงจัง

รูปแบบคอนเทนต์ที่พุ่งขึ้นอย่างเด่นชัดคือ Short-Form Video โดยเฉพาะบน TikTok ซึ่งกลายเป็นแพลตฟอร์มสำคัญทั้งในมิติความบันเทิง ข่าวสาร และการตลาด พร้อมกับการเติบโตของ Social Commerce และ Live-Commerce ที่ทำให้เส้นแบ่งระหว่าง “คอนเทนต์” กับ “การซื้อขาย” แทบแยกไม่ออก

ในช่วงเดียวกันนี้ AI เริ่มเข้ามามีบทบาทมากขึ้นในอุตสาหกรรมสื่อ โดยเฉพาะในฐานะเครื่องมือเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตเนื้อหา การตัดต่อ การทำไลฟ์ และการวิเคราะห์ข้อมูล สัญญาณสำคัญคือ “AI ไม่ได้มาแทนที่ทันที” แต่เริ่มเข้าไปอยู่ในกระบวนการทำงานทีละส่วนอย่างรวดเร็ว

ไฮไลต์ของยุคนี้

  • ไม่มีช่องทางเดียวเข้าถึงทุกคนอีกต่อไป ต้องคิดแบบ Multichannel
  • Short-form Video กลายเป็นรูปแบบหลัก โดยเฉพาะบน TikTok
  • Social/Live-Commerce เติบโต ทำให้คอนเทนต์เชื่อมกับธุรกิจมากขึ้น
  • AI เริ่มเข้ามาเป็นเครื่องมือในงานสื่อจริงจัง

5. ยุคสมรภูมิ AI และ Fragmentation (2567–2568)

ช่วงปี 2567–2568 คือจุดที่วงการสื่อไทยต้องเผชิญ “ความท้าทายระลอกใหม่” จาก Generative AI ที่เข้ามาอย่างรวดเร็ว แม้หลายฝ่ายมองว่า AI เป็นเครื่องทุ่นแรง ช่วยให้ผลิตเนื้อหาได้ไวขึ้น แต่ก็มีความกังวลสำคัญเรื่อง คุณภาพ ความน่าเชื่อถือ และจริยธรรม โดยเฉพาะเมื่อเทคโนโลยีอย่าง Text-to-Speech, ผู้ประกาศข่าว AI หรือ Deepfake ทำให้เส้นแบ่งระหว่าง “ของจริง” และ “สิ่งที่ถูกสร้าง” บางลงกว่าที่เคย

ในเวลาเดียวกัน ปรากฏการณ์ Fragmentation (การเสพสื่อที่แบ่งกลุ่มย่อยและเฉพาะทางมากขึ้น) ทำให้ผู้ผลิตคอนเทนต์ต้องยิ่งเข้าใจผู้ชมของตัวเองอย่างลึกขึ้น การแข่งขันไม่ได้เกิดแค่ระหว่างสำนักข่าวกับสำนักข่าว แต่เกิดขึ้นกับ News Creator และ Niche Influencer ที่สร้างความผูกพันกับผู้ติดตามสูง และหลายครั้ง “ตัวตนของผู้เล่า” มีความสำคัญไม่แพ้ “สังกัดของสื่อ”

ยุคนี้จึงไม่ใช่แค่ยุคของเทคโนโลยี แต่เป็นยุคของ “การออกแบบความน่าเชื่อถือ” และ “การหาความยั่งยืนของรายได้” ไปพร้อมกัน

ไฮไลต์ของยุคนี้

  • Gen AI เร่งการผลิตคอนเทนต์ แต่ทำให้ประเด็นจริยธรรม/ความน่าเชื่อถือเด่นขึ้น
  • Fragmentation ทำให้คอนเทนต์ต้องเฉพาะทาง และต้องชัดเจนว่าพูดกับใคร
  • News Creator / Niche Influencer โต เพราะผู้ชมให้ค่ากับ “ตัวตนและความไว้ใจ”
  • โมเดลรายได้ต้องซับซ้อนและหลากหลายกว่าโฆษณาแบบเดิม

ความท้าทายหลักตลอดทศวรรษ (2559–2568)

เมื่อมองย้อนทั้งทศวรรษ จะเห็นว่าสื่อไทยต้อง “ปรับตัวแบบไม่หยุดนิ่ง” มาโดยตลอด จากการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลเต็มรูปแบบ การรับมือกับอัลกอริทึมและการแข่งขันด้านเอนเกจเมนต์ ไปจนถึงการประยุกต์ใช้ AI เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน ขณะเดียวกัน โครงสร้างรายได้ของสื่อก็เปลี่ยนไปอย่างมาก จากยุคที่โฆษณาเป็นฐานหลัก ไปสู่ยุคที่ต้องหาแหล่งรายได้หลากหลายเพื่อความอยู่รอด

เหนือสิ่งอื่นใด “ความน่าเชื่อถือ” กลายเป็นเดิมพันที่สำคัญที่สุดในยุคที่ข่าวปลอมและคอนเทนต์ที่เน้นเอนเกจเมนต์ชั่วคราวเกิดได้ง่ายขึ้น การรักษามาตรฐาน การตรวจสอบข้อเท็จจริง และการทำงานอย่างมีจริยธรรมจึงไม่ใช่แค่คุณค่าทางวิชาชีพ แต่เป็น “ข้อได้เปรียบทางการแข่งขัน” ที่ทำให้สื่อแตกต่างและยืนระยะได้จริง

บทเรียนจาก 10 ปี (Key takeaways)

  • เทคโนโลยีเปลี่ยนเร็ว แต่ความไว้ใจสร้างช้า สื่อที่ยืนระยะต้องรักษามาตรฐานและตรวจสอบได้
  • ไม่มีสูตรเดียวใช้ได้ทุกแพลตฟอร์ม ยุค Fragmentation ต้องชัดว่า “กำลังเล่าให้ใครฟัง”
  • AI เป็นคันเร่ง ไม่ใช่คนขับ ใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพได้ แต่ต้องมีมนุษย์กำกับและยึดจริยธรรม
  • รายได้ต้องหลากหลาย จากโฆษณาอย่างเดียว สู่ Subscription / Event / Community / Niche content

มองไปข้างหน้า: สมรภูมิ AI จะเปลี่ยนสื่อไทยอย่างไร

ในยุคต่อจากนี้ สิ่งที่ท้าทายไม่ใช่แค่ความสามารถในการใช้เครื่องมือใหม่ แต่คือ

ความสามารถในการ “ออกแบบระบบทำงานและแนวทางนำเสนอ” ให้เท่าทันเทคโนโลยี โดยไม่สูญเสียความน่าเชื่อถือของแบรนด์สื่อเอง ทั้งในมิติของการคัดกรองข้อมูล ความรับผิดชอบต่อสังคม และการสื่อสารกับผู้ชมที่กระจายตัวมากขึ้นทุกวัน

ท้ายที่สุดแล้ว สื่อที่อยู่รอดและเติบโตได้ คือผู้ที่สามารถผสานความแข็งแกร่งด้านคุณภาพและจริยธรรม เข้ากับความสามารถในการใช้ข้อมูล เทคโนโลยี และความเข้าใจผู้ชมอย่างลึกซึ้ง เพื่อเชื่อมโยงกับผู้บริโภคบนหลากหลายแพลตฟอร์มได้อย่างมีเอกลักษณ์และแตกต่าง

Topics