“ไวรัลคิวรองเท้า” หน้าธนาคารกรุงไทย หลังเปิดลงทะเบียนคนละครึ่งพลัสวันแรก คนแห่ยืนยันตัวตนตั้งแต่ตี 4 สิทธิเต็ม 20 ล้านใน 10 ชั่วโมง สะท้อนพลังและความพยายามของประชาชนเพื่อเข้าถึงสวัสดิการรัฐ

แฮชแท็ก #คนละครึ่งพลัส และ #เป๋าตัง ติดเทรนด์บน X (Twitter) ประเทศไทยภายในไม่กี่ชั่วโมง พร้อมภาพ “รองเท้าจองคิว” หน้าธนาคารกรุงไทยในสาขาต่างจังหวัดเป็นที่พูดถึงและแชร์กันอย่างแพร่หลายในโลกโซเชียล
สู้! เพื่อสิทธิ 2,000 บาท หลายคน “ต่อคิวตั้งแต่ตี 4”
ตามรายงานของสื่อหลายสำนักต่างรายงานตรงกันว่า ระบบลงทะเบียนของโครงการคนละครึ่งพลัส สามารถรองรับผู้ใช้ได้อย่างรวดเร็ว ภายใน 30 นาทีแรก มีผู้ลงทะเบียนสำเร็จกว่า 5 ล้านสิทธิ และมีผู้ลงทะเบียนครบ 20 ล้านสิทธิภายใน 10 ชั่วโมง โดยตั้งแต่ช่วงเช้าวันนี้ ภาพจากหน้าธนาคารกรุงไทยหลายสาขาเต็มไปด้วยผู้คนที่มารอเข้าคิวตั้งแต่ตี 4 เพื่อ “ยืนยันตัวตน” ให้สำเร็จ
เพราะแม้ด้านหนึ่งระบบดิจิทัลจะทำงานได้เป็นอย่างดี แต่ขั้นตอนการยืนยันตัวตนทางอิเล็กทรอนิกส์ e-KYC (Electronic Know Your Customer) หรือพูดง่ายๆ คือ การยืนยันตัวตนผ่านการสแกนใบหน้าในแอปฯ เป๋าตัง กลับกลายเป็นคอขวดสำคัญ ด้วยเหตุผลคล้าย ๆ กัน คือ เปลี่ยนเครื่อง เปลี่ยนเบอร์โทรศัพท์ ลืมรหัสผ่านแอปฯเป๋าตัง หลายคนยืนยันตัวตนผ่านมือถือไม่สำเร็จ ก็ต้องเดินทางมาให้เจ้าหน้าที่ธนาคารช่วยเหลือ
สำหรับผู้ที่ลงทะเบียนสำเร็จวันนี้ จะเริ่มใช้จ่ายได้ 29 ตุลาคม-31 ธันวาคม 2568 รับสิทธิ 2,400 บาทต่อคนตลอดโครงการ (ผู้ยื่นแบบภาษี) และ รับสิทธิ 2,000 บาทต่อคนตลอดโครงการ (ผู้ไม่ยื่นแบบภาษี) และต้องใช้สิทธิครั้งแรกภายใน 11 พ.ย. 2568 เวลา 23.00 น. เพื่อมิให้สิทธิถูกยกเลิก
“คิวรองเท้า” ภาพไวรัล สะท้อนความเหลื่อมล้ำ?
ภาพรองเท้า หรือของใช้ส่วนตัวที่ประชาชนนำมาวางจองคิวหน้าธนาคาร ถูกแชร์ในโลกโซเชียลหลายครั้งจนกลายเป็นมีมและสัญลักษณ์ของ “ความพยายามเพื่อสิทธิสวัสดิการของรัฐ” หลายคนตั้งคำถามว่าในยุคที่ประเทศไทยกำลังผลักดันเศรษฐกิจดิจิทัล ทำไมประชาชนจำนวนมากยังต้อง “ใช้รองเท้าแทนระบบจองคิวออนไลน์”
ปรากฏการณ์ “คิวรองเท้า” กลายเป็นภาพสะท้อนความเหลื่อมล้ำเชิงโครงสร้างหรือไม่? ระหว่างคนที่เข้าถึงเทคโนโลยีได้อย่างราบรื่น กับคนที่เข้าไม่ถึงเทคโนโลยีจริง ๆ แม้จะอยู่ในโครงการเดียวกันก็ตาม
เสียงสะท้อนจากโซเชียล: "ลงทะเบียนคนละครึ่ง" คือ บททดสอบความเสมอภาคทางดิจิทัล
ในโลกออนไลน์ ผู้ใช้จำนวนมากแสดงความเห็นว่าการออกแบบระบบดิจิทัลของรัฐยัง “ไม่เข้าใจประชาชนจริง ๆ” โดยเฉพาะผู้สูงอายุที่ไม่ถนัดเทคโนโลยี ขณะที่อีกฝั่งหนึ่งมองว่า การต่อคิวหน้าธนาคารคือ “ภาพที่ทั้งน่ารักและน่าเศร้า” ของสังคมไทย ที่ประชาชนพร้อมจะพยายามทุกวิถีทางเพื่อเข้าถึงสิทธิของตน
คำถามสำคัญที่เกิดขึ้นจากกระแสนี้คือ “เราจะทำให้โครงการดิจิทัลของรัฐเข้าถึงทุกคนอย่างเท่าเทียมได้อย่างไร?”